top of page

Darla's blog

Search

กิ่วแม่ปาน

  • Writer: Admin
    Admin
  • Oct 25, 2017
  • 1 min read

กิ่วแม่ปานเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะสั้น ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ บริเวณกิโลเมตรที่ 42 ของถนนสายจอมทอง – ยอดดอยอินทนนท์ ใกล้กับพระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ

กิ่วแม่ปานมีลักษณะเป็นวงรอบลาดชัน มีทางเดินทั้งขึ้นเขา ลงเขา และพื้นราบผ่านป่า ระยะทางประมาณ 3.2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง สูงจากระดับน้ำทะเล 2,200 เมตร

ภายในกิ่วแม่ปาน จะแบ่งป่าออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ป่าดิบเขากับทุ่งหญ้าบนสันเขา ระหว่างทางจะมีแผ่นป้ายให้ความรู้เกี่ยวกับผื่นป่ากิ่วแม่ปานทั้งหมด 21 จุด และมีที่ให้นักท่องเที่ยวพักตลอดเส้นทาง นอกจากนี้กิ่วแม่ปานยังเป็นจุดชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามอีกจุดหนึ่งของยอดดอยอินทนนท์อีกด้วย ซึ่งเราจะสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ที่ด้านหลังของพระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ

กิ่วแม่ปานได้รับฉายาว่าเป็น “สวรรค์บนดิน” เพราะสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้ยาวสุดลูกหูลูกตา ให้ความรู้สึกเหมือนได้เดินบนสวรรค์จริงๆ และว่ากันว่ากิ่วแม่ปานเป็นป่าที่สวยที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย บริเวณจุดชมวิวของกิ่วแม่ปานจะเป็นเส้นทางเดินเลียบไปตามสันเขา มีลักษณะเส้นทางที่คับแคบ มีความกว้างประมาณ 1 เมตร จึงเป็นที่มาของชื่อ “กิ่วแม่ปาน” เพราะคำว่า “กิ่ว” ในภาษาเหนือ แปลว่า เล็กๆ นั่นเอง จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของสันเขากิ่วแม่ปาน ก็คือ ต้นกุหลาบพันปี สีแดงสด ที่ออกดอกให้ได้ชมกันตลอดช่วงฤดูหนาว และสามารถพบดอกไม้หายากได้อีกมากมาย เช่น ดอกสุวรรณนภา และดอกบีโกเนียป่า ถ้าหากโชคดี เราอาจได้พบกวางผา ซึ่งเป็นสัตว์สงวนหายากที่ใกล้สูญพันธุ์ ตามริมหน้าผาแห่งนี้อีกด้วย

ในทุกๆปีกิ่วแม่ปาน จะเปิดเส้นทางให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 31 พฤษภาคม และหลังจากนั้นก็จะปิดเส้นทาง เพราะช่วงหน้าฝน ทางเดินจะมีตะไคร่น้ำ ทำให้ลื่น อาจเกิดอันตรายได้ นอกจากนี้ ยังเพื่อต้องการให้ป่าได้ฟื้นฟูตัวเองอีกด้วย

1.เฟิร์นยุคโบราณ

บริเวณรอบๆ เป็นป่ามีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น มีแสงแดดรำไรส่งลงมา เพียงพอต่อการดำรงชีวิตของเฟิร์นใบบางที่สุดในโลก มีมาแต่โบราณประมาณ 230 ล้านปี ช่วงอากาศแล้งเฟิร์นจะพักตัว ใบเหี่ยวแต่ไม่ตาย และจะฟื้นเขียวอีกครั้งเมื่อได้ละอองหมอก

2.ป่าเมฆ

ป่าที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกหลายเดือน อากาศหนาวชื้น ลมแรง ดินเป็นกรดสูง พันธุ์ไม้ที่ขึ้นได้บริเวณนี้ จะมีแต่กลุ่มไม้เมืองหนาว เช่น หว้า กุหลาบพันปี กุหลาบขาว กล้วยไม้ เฟิร์น มอส

3.ป่าต้นน้ำ กำเนิดสายธาร

มีน้ำตกขนาดเล็ก ไหลมาเป็นลำห้วย ในยุคแรกน้ำตกไหลรุนแรง เกิดเป็นหลุมลึก และในยุคปัจจุบันสายน้ำเปลี่ยนทางไหล ปริมาณน้ำลดลง น้ำที่ไหลจากน้ำตกเป็นน้ำสะอาด มีธาตุอาหารสูง ปลายทางของน้ำจะไหลลงสู่แม่น้ำปิง

4.พรรณพืชไม้ป่าเมฆ

ต้นก่อ (ต้นโอ๊ค) ต้นทะโล้ ต้นหว่าอ่างกา (พืชเฉพาะท้องถิ่น) ในป่านี้เป็นต้นไม้เมืองหนาว มีการปรับตัวให้อยู่ได้ในป่าหนาวและชุ่มชื้นสูง

5.ป่าซ่อมป่า

ป่าเมฆที่มีลมพัดแรง มักมีไม้หักโค่น ต้นไม้ใหญ่ที่ล้มทำให้เกิดแสงส่องลงมายังพื้นดิน ต้นไม้รุ่นใหม่จึงงอกมาซ่อมแซม เป็นวงจรการพื้นฟูตนเองของป่า

6.เถาวัลย์

เป็นต้นไม้ที่ชอบแดดจัด โตเร็ว เลื้อยพันต้นไม้ใหญ่อย่างรวดเร็ว กระรอกและสัตว์หากินบนต้นไม้ใช้เป็นเส้นทางเดิน

7.ทุ่งหญ้าเมืองหนาว

ปกติที่ความสูง 4000 เมตร จากระดับน้ำทะเลในเขตหนาว จะมีเฉพาะไม้ล้มลุก เรียกว่า “ทุ่งหญ้าอัลไพน์” แต่ที่ดอยอินทนนท์ ดอยผ้าห่มปก และ ดอยเชียงดาว เป็นภูเขาสูง 2,000-2,500 เมตร มีปรากฏการณ์พิเศษ มีไม้ล้มลุกปะปนกับไม้พุ่มขนาดเล็ก เรียกพงไม้นี้ว่า “ทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์”

8.กู๊ดเกี๊ยะ เฟิร์นทนไฟ

ขึ้นบริเวณทุ่งหญ้าเมืองหนาว เฟิร์นชนิดนี้มีใบหนาแข็ง ลดการคายน้ำ ซ่อนลำต้นไว้ใต้ดิน เมื่อมีไฟป่าใบที่อยู่พ้นดินจะไหม้ และจะงอกขึ้นใหม่อีกครั้งจากลำต้นที่อยู่ได้ดิน

9.จุดชมทิวทัศน์

เป็นพื้นที่โล่ง มีระเบียงยื่นออก บางวันจะมองเห็นทะเลหมอกได้ที่บริเวณนี้ และวันที่ฟ้าเปิดจะมองเห็น อ.แม่แจ่มที่อยู่เบื้องหน้าได้ชัดเจน จุดชมวิวตรงนี้เป็นประเด็นในโลกโซเชียลเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปยืน – นั่งที่รั้วกันตก อาจทำให้เกิดอันตรายได้

10.กวางผา

ปลอดภัยในบ้านผาหิน กวางผาเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่รวมกันตามทุ่งหญ้าบนภูเขา และหน้าผาในเทือกเขาสูง ปัจจุบันกวางผาดอยอินทนนท์เป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว นักท่องเที่ยวมีโอกาสเจอได้ยาก

11.ผาแง่มน้อย

เป็นแท่งหินแกรนิต เมื่อสองร้อยล้านปีที่ผ่านมาได้หลอมเหลว ดันตัวตัดผ่าหินไนส์ที่มีอายุกว่า 500 ล้านปี เมื่อเย็นตัวลงปรากฎรอยแตกตรงข้ามอีกครั้งเป็นการผุกร่อน กัดกร่อน ผลคือ หินแง่มน้อยมีเนื้อหินแข็งกว่า จึงคงทน เด่น เป็นสัญลักษณ์ของกิ่วแม่ปาน

12.กิ่วแม่ปาน (ป่าสองมุมบนสันเขา)

“กิ่ว” ภาษาเหนือแปลว่าแคบ “กิ่วแม่ปาน” เป็นพื้นที่บนสันเขาส่วนที่แคบที่สุด ลาดเขาสองด้านเป็นป่าต่างชนิดกัน ฝั่งด้านนอกโดนแดดส่อง และลมปะทะแรงจะมีแต่ต้นไม้ขนาดเล็ก ส่วนฝั่งด้านในเป็นป่าชุ่มชื้น

13.กุหลาบพันปี

ปรับตัวเองให้อยู่ได้ในอากาศหนาวเย็น และลมแรง ใบเป็นแผ่น เหนียวหนา ลดการคายน้ำ กิ่งโปร่งลมผ่านสะดวก ดอกสีแดงเข้ม จะออกดอกในช่วงเดือนธันวาคม – มีนาคม

14.ป่าร้อน ป่าหนาว

เชิงดอยอินทนนท์อากาศร้อนชื้น แต่ยอดดอยอากาศหนาว ลมพัดแรง และมีหมอกหนา ด้วยสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ป่าร้อนจะมีพันธุ์ไม้ใบกว้าง ชอบแดดจัด ทนแล้ง ส่วนป่าหนาวจะเป็นพันธุ์ไม้พุ่มเตี้ย ใบมัน

15.จุดชมวิวสองพระธาตุ อยู่ระหว่าง จุด 14 -15 ไม่ได้อยู่ในเส้นทางหลักต้องเดินเข้าไปประมาณ 3 นาที จุดนี้มองเห็นด้านหลัง พระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ได้อย่างชัดเจน มาช่วงเช้าจุดนี้จะย้อนแสง มาช่วงบ่ายจะถ่ายรูปสวย

16.สายน้ำ ยอดเขาสูงสุดของไทย

ห้วยสายเล็กๆ ปกคุลมด้วยป่าดิบเขาอุดมสมบูรณ์มีฝนตกชุก อากาศชื้นมาก ต้นไม้คายน้ำได้น้อย ใบไม้ย่อยสลายช้า มีสภาพเหมือนผ้าห่มพร้อมซับน้ำฝน

17.มอส

ชอบน้ำแต่ทนแล้ง มอสมักขึ้นตามโคนไม้ และที่ชื้นฉ่ำ ช่วงแล้งก็พักตัวรอความชื้นก็ฟื้นกลับมา สามารถแพร่พันธุ์ด้วยสปอร์

18.ป่าสองรุ่น

ในป่ามีไม้หลายชนิด มีอายุ และความสูงไม่เท่ากัน บ่งบอกได้ว่าป่านี้ในอดีตเคยโค่นล้มจากพายุ แล้วมีต้นไม้รุ่นใหม่เกิดพร้อมกัน

19.สูงใหญ่แต่ล้มง่าย

ป่าเขาสูงชัน หน้าดินถูกน้ำฝนชะล้างจนมีความหนาเพียง 1-2 เมตร ส่วนด้านใต้เป็นชั้นหิน ต้นไม้สูงใหญ่มักไม่พบรากแก้ว เพราะไม่สามารถเจาะลงหินได้ เมื่อมีพายุใหญ่มาต้นไม้ก็ล้มได้ง่าย

20.กูดต้น

เฟิร์นสัญลักษณ์ป่าบริสุทธิ์ กูดต้น เป็นเฟิร์นใบใหญ่เรียงเวียนรอบปลายต้น เรือนยอดกว้าง พบตามลุ่มน้ำริมห้วยชื้นแฉะ ใต้ร่มเงาแสงรำไรเท่านั้น การไม่พบกูดต้นในที่แดดจัด จึงสัญนิษฐานว่า กูดต้นเป็นพืชสัญลักษณ์ของป่าบริสุทธิ์

21.เสียงป่า

ลองหยุดนิ่งแล้วหลับตา จะได้ยินเสียงใบไม้หล่น เสียงลมพัด เสียงสายน้ำ นกร้อง เปรียบเสมือนวงดนตรีวงใหญ่

22.สรุป

ป่าเมฆแห่งนี้ คือของขวัญที่ธรรมชาติสร้างไว้ เป็นแหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศ

 
 
 

Comments


Featured Posts
Check back soon
Once posts are published, you’ll see them here.
Recent Posts
Archive
Search By Tags
Follow Us
bottom of page